April 29, 2002

วันนี้ออกไปข้างนอกมาเพื่อที่จะไปเจอเพื่อนๆและนำหนังสือไปคืนเพื่อนอีกคนเพราะว่าเรายืมมานานแล้ว(ดอง) ไปๆมาๆกลับได้ยืมหนังสือที่เราอยากอ่านมาอีก 1 เล่ม กับได้ของฝากจากแดนไกลเป็นหนังสือ 1 เล่มโต เรื่อง The Missing Piece ของ Shel Silverstein ถ้าใครจำได้มันจะมี The Missing Piece Meets the Big O ในไทยก็เรื่อง ส่วนที่หายไป ที่เป็นชิ้นส่วนสามเหลี่ยมออกเดินทางตามหาส่วนที่ขาดหายไปเพื่อเติมเต็มให้กับชีวิตของตนเอง เคยมีคนมาทำเป็น flash แปลไทยเมื่อก่อนดังอยู่พักนึง เผลอลบไปแล้วแย่จัง เราเคยขอเขาใหม่มา 1 ทีแล้วสงสัยต้องขอใหม่ :) ยังไม่ได้อ่านเลยยังไม่ขอเล่านะ กับอีกเล่มเป็นหนังสือที่เราไปยืนอ่านที่ร้านแล้วเกิดชอบ อยากจะซื้อ แต่ไม่ได้ซื้อ(อีกแล้ว) ชื่อเรื่อง หนึ่งวันเดียวกัน เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวทดลองที่ตีพิมพ์ใน a day เราชอบในการนำเสนอของเขา แปลกดี อันนี้ขอยืมเขามา ต้องเอาไปคืนนะ (ขอขอบพระคุณเพื่อนที่แสนจะใจดีไว้ ณ. โอกาสนี้ด้วยนะ)
เมื่อวานได้มีโอกาสไปจังหวัดสระแก้ว เพื่อเดินทางไปกินอาหารเวียดนาม ไม่น่าเชื่อครับว่าที่บ้านอะไรจะบ้าขนาดนั้น ขับรถไปกลับ 600 โลเพื่อไปกินอาหารเวียดนามแล้วก็กลับ ขากลับเราได้ซื้อเปลญวนกลับมาด้วย ไหนๆก็ไปถึงชายแดนแล้วนี่ ของแท้แน่นอน เปลญวณ ราคา 60 บาท ถูกมากๆ ก่อนกลับแวะซื้อแคนตาลูปมา 3 ลูก แช่ในตู้เย็นกินแล้วอร่อยชื่นใจจัง :)

April 24, 2002

เมื่อวันอาทิตย์ได้ไปเดินเที่ยวงานกรุงเทพ 220 ปีมา คนเยอะจังเลย เดินซะเมื่อยขา ได้มีโอกาสไปภูเขาทองเป็นครั้งที่ 2 จึงรู้ว่าพื้นกระเบื้องนั้นช่างร้อนนัก และเพิ่งรู้ว่าอยากจะเที่ยวกรุงเทพให้เดินตามฝรั่งที่มีแผนที่รับรองเราไม่หลงแน่ :D
2-3 วันนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมขี้เกียจเหลือหลาย วันๆเอาแต่ออกไปเช่า VCD มาดูทั้งวันเลย หนังเก่าๆ หนังใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้ดูก็เช่ามาดูให้หมด ตอนนี้อยากจะดู The god father กับ Benhur มาก (the sound of music ก็มี) แต่ติดที่มีแต่พากษ์ไทย ถ้าหาไม่ได้จริงๆคงต้องเช่ามาดูแล้วล่ะ เรื่องล่ะ 15 บาทเอง 7 วัน :P
วันนี้(อังคาร 23) ก็ได้มีโอกาสดู The chicken run สนุกดี ซึ้งๆ ไม่น่าเชื่อเลย เป็นเรื่องของฝูงไก่(ตัวเมีย) ที่ต้องการหนีออกจากฟาร์มไก่ไข่ให้ได้ สนุกดี ส่วนวันก่อนก็ได้มีโอกาสดู The animal นางเอกน่ารักดี ผมสั้นๆ ชื่อ Colleen Haskell ก็เลยไปหาตาม net ดู ไม่น่าเชื่อว่าคนนี้เคยเล่นใน survivor ภาคแรกมาก่อน แต่ถูกคัดออกในตอนที่ 11 แต่เผอิญ Adam Sandler (ที่เล่น Waterboy อ่ะ) กำลังหาตัวนางเอก แล้วเผอิญได้ดูใน Survivor เข้าก็เลยเรียกเธอมาทดสอบ แล้วเธอก็ถูกใจกรรมการได้บทนี้ไป ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าคนเราถ้าจะเกิดมันก็เกิด เยี่ยมจริงๆ
ในที่สุดวันนี้จดหมายที่รอคอยก็มาถึง นึกว่าจะสูญ check แล้ว ฮูเร่ได้ทุนคืนแล้ว(ประมาณ 6 เดือนตั้งแต่เริ่มโครงการ) เอาไปลงทุนต่อได้ แต่ก่อนอื่นต้องหาทางขึ้นเงินมันให้ได้ก่อนนะ เฮ้อ มีแต่ธนาคารไกลบ้านทั้งนั้น

April 19, 2002

เมื่อวานมีโทรศัพท์ลึกลับมาชวนให้ไปทำงานส่งประกวด แต่มีข้อแม้ที่โหดมากคือต้องชนะเท่านั้น แต่เราก็ไม่ถนัดทางนี้ด้วย อีกอย่างตีโจทย์ไม่แตกเลยต้องปฎิเสธไปในวันนี้ ก่อนหน้านั้นเพื่อนก็ชวนให้ไปเขียนโปรแกรมหน่อย ให้เราหาวิธีให้ จนแล้วจนรอดก็ยังหาไม่ได้ สงสัยต้องปฎิเสธงานอีกแล้วมั้งเนี่ยอยากจะทุ่มให้กับงานส่วนตัวเต็มที่ ตอนนี้ร่างแผนอยู่ ต้องงัดเอาวิชา DSS (Dicision Support System) อย่างนี้ป่าวว่ะ จะเอามาใช้หาจุดกำไรที่สุดที่จะทำได้ ฮาๆ ว่าแล้วก็ไปหยิบตำรามา อ่านๆแล้วก็ลืม จำไม่ได้ สงสัยต้องหาคนคิดให้แล้วล่ะ เฮ้อ

April 17, 2002

ไปเที่ยวสงกรานต์ที่ลำปางมาได้ไปสาดน้ำกับเขาด้วย เฮ้อ ไม่ค่อยหนุกเลย มีแม่กับป้าๆอีก 2 คนน่าเบื่อจริง ไปเที่ยวครั้งนี้ได้ประสบการณ์แปลกๆมา 2 แบบ ใครได้ดูขุนแผนมาแล้วคงคุ้นกับคำว่า "กุมารทอง" หรือรักยม พอดีได้มีโอกาสไปเจอคนทรงเจ้าที่เป็นร่างทรงให้เทพอะไรแบบเนี่ยมาเข้าร่างแล้วช่วยเหลือชาวบ้านอ่ะ เหมือนอย่างในหนังไทยเลย แต่คนทรงคนนี้เป็นผู้หญิง เขาบอกว่าถ้าเกิดกุมารหรือเทพจะลงเขาก็จะมาลงที่ร่างเลยแล้วท่าทางก็จะเปลี่ยนไปตามเทพนั้นๆนะแหละ ผมเองก็ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อเท่าไรแต่ก็ไม่หลบหลู่ แต่ก็อยากเห็นเหมือนกัน พอดี๊ ได้ไปเล่นทรงกรานต์ด้วยกัน ก็นั่งข้างหลังนะแหละนั่งด้วยกัน นั่งไปนั่งมาเขาสาดน้ำกันสนุก กุมารอยากเล่นด้วยก็เข้าร่างเขาเลย เขาจะหาวดังๆก่อนหลายที แล้วพอกุมารเข้าร่าง จากป้าผู้หญิงก็กลายเป็นเด็กไปเลย ท่าทางการทำตัวเหมือนเด็กๆ เสียงก็กลายเป็นเด็ก แปลกดีแฮะ ก็นั่งคุยกันนิดหน่อย เขาบอกว่าอายุน้อยกว่าผมปีนึง แต่ร่างเขาอายุแค่ 8-9 ปี (น้อยกว่าผมปีก็ประมาก 21-22 ปีอะดิ) แม่ถามเขาว่าผมมีแฟนยัง? เขาก็บอกว่ามีแล้ว ผมเลยถามว่าชื่ออะไร? เงียบ? แล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่น กว่าที่กุมารจะออกจากร่างก็เกือบ 5 ชั่วโมง ผมคิดว่าพี่เขาคงเหนื่อยมากเลย คิดๆแล้วก็แปลกดีแฮะส่วนวันต่อมาผมก็ได้เดินทางขึ้นไปบนดอย เข้าไปในหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าเย๊าหรืออีก้อเนี่ยแหละ จำไม่ได้ อากาศบนดอยนั้นดีมากๆ เย็นๆ วิวสวย เขาต้อนรับเราดีมาก พอตกเย็นพี่คนที่พาไปก็บอกว่าจะพาไปส่องเรา เราก็อยากไปเพราะไม่เคยนั่งห้างดูสัตว์ป่าตอนกลางคืนมาก่อน เขาบอกว่ามีหมูป่าเยอะ เก้งก็พอมี ไอ้เราก็เลยไปกับเขาด้วย ก็มีชาวเขาติดรถไปด้วยกัน เขามีปืนกันทุกคนเลย คงเอาไว้ล่าสัตว์ ไปๆมาก็มีคนประมาณ 7 คนได้(รวมผมแล้ว) พอถึงที่เขาก็จิดรถแล้วก็แจกไฟฉายมาให้ผมอันหนึ่ง เป็นแบบติดบนหัว เริ่มงงๆแล้ว พอดีเขาก็เปลี่ยนเป็นไฟฉายแบบกระบอกมาให้แทน เสร็จแล้วก็แจกปืนมาให้ 1 กระบอก ปืน?? เอาไปทำอะไร ไม่ใช่ไปส่องสัตว์เหรอ นี่มันไปล่าสัตว์แล้วนี่นา คนละความหมายแล้ว เฮ้ยไม่เอาๆ ไม่ยิงๆ เขาก็บอกให้ติดตัวไว้ เผื่อใช้ยิงเล่น แถมถามว่าจะเอามีดไหม ไอ้มีดเดินป่าอันยาวๆอ่ะ เฮ้อ เอาก็เอาว่ะ ตามเขาไปเข้าป่า เนื่องจากเราเป็นมือใหม่เขาเลยให้เราไปกับชาวเขาคนหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้แล้ว ไม่ คึ ก็ สู เนี่ยล่ะ) ไปกัน 2 คน เดินลงข้างทางไปเลย ไปไม่ไกลเท่าไร เพราะเรามือใหม่ แล้วลงไปลึกน่าดู คิดดูสิเราใส่รองเท้าแตะ แต่เดินลงหน้าผาอ่ะ หน้าผา ย้ำหน้าผา ชันสุดๆ ขนาดเขายังลื่นเลย ไอ้เราจะเหลือเรอะ ลื่นสไลด์ลงไปเลย ฮาๆ เสียงนั้นดังมาก เพราะในป่าเสียงทุกเสียงเงียบหมด เงียบสนืท แค่เราหายใจยังได้ยินเลย เรานั่งซุ่มกันอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงหมูป่าเดินมาใกล้ๆ เขาก็ชี้ให้เราดูใหญ่เลย ปากก็บอก หมู หมู ไอ้เราก็ได้ยินแต่เสียง แต่มองไม่เห็นตัวมัน ก็ตัวมันดำๆกลมกลืนไปกับต้นหญ้ากับความมืดนี่น่า ว่าแล้วพี่แกก็ประทับปืนเล็ง ไอ้เราก็ภาวนาอย่าให้เกิดการนองเลือดแถวนี้เลย ไม่เอาๆ ว่าแล้วหมูก็เงียบไป คงเดินหนีไปแล้ว โชคดีของหมู เวลาผ่านไปช้าๆ เราย้ายที่กันอีกที แล้วพี่เขาก็ตัดใบกล้วยมารองพื้นให้เรานอนรอ เพราะเขาจะลงไปลึกอีก สงสัยเราทำเสียงดังหมูเลยหนีไป เราก็เลยนอนมากลางป่าเลย มดกันเต็มไปหมด แมลงเพียบ กลัวก็กลัว กลัวงูกัด คิดมากเพราะมันเงียบ นอนเล่นสักชั่วโมง พี่เขาก็ขึ้นมาบอกว่า หมูคงไปที่อื่นแล้ว กลับกันดีกว่า เบ็ดเสร็จ 2 ชั่วโมงกับการนั่งนิ่งๆไม่กระดุกกระดิก นึกถึงครูฝึกรด.เลยว่าแค่เหยียบกิ่งไม้หักก็ตายได้ เห็นภาพแล้วครับครูขาขึ้นนั้นลำบากมาก เพราะทางชันสุดๆ รองเท้าก็แตะ ปืนก็ต้องแบก พี่เขาเดินฉับๆไป เราก็ตามแต่ทำไม่ได้ เพราะมันชันขนาดที่ว่าต้องคลานขึ้นไปเลยปีนป่ายแบบ mission impossible เลย ไม่เวอร์นะ เราต้องอาศัยเกาะต้นไผ่ดึงตัวขึ้นไป พอขึ้นไปถึงถนน หัวใจแทบจะระเบิดเพราะเต้นเร็วมาก หายใจแทบไม่ได้ เหนื่อยสุดๆ พอถึงเพิงที่พักก็นอนเลย เพราะยังไม่มีใครกลับมา สงสัยจะออกไปล่าจนถึงเช้า เราก็นอนเอาแรงล่ะ พี่เขาก็จุดไฟให้อุ่น สักพักเดียวก็มีเสียงเดินซวบๆดังมาจากข้างหลัง หมู หมู พี่แกร้องอีก (พี่แกพูดไทยไม่ค่อยได้) แล้วก็รีบดับไฟ และแล้วหมูก็หนีไปตามเคย แล้วพี่แกก็บึ่งมอเตอร์ไซค์กลับไป สักพักก็พาเพื่อนกลับมา เขาบอกว่าให้ไปส่งเรากลับที่พักก่อนเพราะเขากับพี่คนที่พาเรามานั้นคงจะล่าหมูอยู่อีกนาน (จะเอาให้ได้) ให้เราไปนอนเลยไม่ต้องรอ ไอ้เราก็เหนื่อยก็เลยกลับไปนอนที่บ้านเขา อากาศเย็นมากๆ ขนาดหน้าร้อนนะเนี่ย หน้าหนาวคงแข็งตายแน่ เป็นประสบการณ์ที่สนุกดี คราวหน้าจะฟิตร่างกายมาให้ดีและจะเอารองเท้าหุ้มส้นกับหมวกไอ้โม่งมาด้วย ถ้าให้ดีจะเอาแว่น infrared มา ฮาๆๆๆ
หลังจากกลับมาจากเกาะช้างได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็มีอันต้องเดินทางไปยังเกาะช้างอีกรอบกับเพื่อนๆที่ทำงาน ก็ไหนๆจะไม่ได้เจอกันแล้วนี่ก็เลยไปเที่ยวด้วยกันหน่อย เพราะนัดกันไว้นานแล้วตั้งแต่ปีใหม่โน่น :) ดันไปหน้าเทศกาลอีก เลยต้องแบกเต๊นท์กันไปกันเหนียวไว้ก่อนเผื่อไม่มีที่นอน ออกเดินทางคืนวันที่ 5 กลับวันที่ 8 ตอนเย็นๆ ไปถึงก็เดินหาที่พักตั้งแต่หัวหาดยันท้ายหาดเลย (ไปหาดทรายขาว) ก็ไปได้ที่ท้ายหาด เป็นห้องเล็กๆไว้ซุกหัวนอนได้ ราคา 200-300 บาท (see-sun bungalow) ที่พักก็งั้นๆไม่ค่อยจะดีเท่าไร แต่อาหารก็ ok ราคาปกติไม่แพงมาก เห็นบอกว่าไม่รับคนไทยแต่หน้าเทศกาลเลยรับ อะไรกันฟ่ะนี่บ้านเมืองเรานะเฟ้ย ยังมาแบ่งให้ฝรั่งอีก เลยคิดว่าสงสัยคนไทยไม่ค่อยอุดหนุนที่ร้านเขาแน่ๆเลย (แต่ไปๆมาๆ2วันเห็นเราคนไทยนั่งกินอยู่แค่โต๊ะเดียว) มาเที่ยวครั้งนี้ลงไปว่ายน้ำทีเดียวเอง ไม่ค่อยหนุกเท่าไร คงเพราะเรามีเรื่องให้คิดมากด้วยล่ะ เลยไม่ค่อยได้เฮฮากับเขา บางทีก็หนีไปนอนชายหาดเงียบๆคนเดียว สบายๆ คนอื่นเขาอยากไปดื่มๆกัน แต่เราเฉยๆอ่ะ มาทะเลอยากนอนดูดาวมากกว่า แต่ไปครั้งนี้มองไม่เห็นพระจันทร์เลย -_-! ว้าแย่จังก่อนกลับก็แวะไปซื้อของฝากกัน เราก็ไม่ได้ซื้อนะเพราะไม่มีตัง อีกอย่างไม่กินทุเรียนด้วย :D แต่แอบลองชิมทุเรียนทอดแล้ว เค็มๆ อร่อยดีแฮะ ที่ถูกใจที่สุดเห็นจะเป็นขนมเปลือกไม้ที่เคยกินตอนเด็กๆ เป็นตังเมแท่งๆเป็นสีน้ำตาลคล้ายๆเปลือกไม้ เคยทานกันไหม? อร่อยดี กินแล้วติดฟัน :) ขากลับโดนให้นั่งคนเดียวนึกว่าจะได้นั่งกะสาวๆ โธ่กลายเป็นคุณป้าแก่ๆอายุ40 เซ็งๆๆๆๆๆๆ เลยหลับซะเลย กลับมาถึงบ้านก็เตรียมตัวเดินทางอีกแล้ว คราวนี้มุ่งหน้าสู่ลำปางในหน้าเทศกาลสงกรานต์ 9 - 20 เมษายนนี้
ป.ล. ลืมวันเกิดแม่เฉยเลย วันที่ 4 เดือน 4 จำไว้ซิไอ้ออย

April 03, 2002

หลังจากกลับมาจากพัทยา ก็ได้เวลาออกจากงานที่ทำอยู่ เจ้านายพาไปเลี้ยง และหลังจากวันนั้นก็ไปเที่ยวเกาะช้างกับเพื่อนๆ สนุกดี ตัวดำเลย น้ำใสแจ๋ว ชายหาดคนน้อยมากๆ เพราะไม่ใช่หน้าเทศกาล ไปนอนที่คลองพร้าว มีแต่ต้นมะพร้าวเต็มไปหมด ชายหาดไกลสุดตา ท้องฟ้าไร้เมฆ ไปพักกันที่ ทะเลบังกาโล http://www.geocities.com/thalebungalow นอนเต๊นท์คนล่ะ 50 บาท เครื่องนอนหมอนผ้าห่มอีก 20 บาท ถ้านอนบังกาโล คืนล่ะ 150 บาท ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม ห้องน้ำรวม เงียบๆ สบายๆ มีเพลงเพราะๆให้ฟังตอนทานข้าวด้วย ถ้ามีเวลาว่างจะปลีกตัวไปวิเวกสักอาทิตย์ที่นี่ล่ะ